วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Colmar ประเทศฝรั่งเศส

   Colmar ประเทศฝรั่งเศส เมือง Colmar ถูกจัดให้เป็นเมืองที่มีความโรแมนติก เมืองหนึ่ง ของประเทศฝรั่งเศส และเป็นสถานที่ที่คู่รัก มักจะให้คำสัญญาในความรักระหว่าง กันและกัน สิ่งที่น่าประทับใจในเมือง Colmar ก็คือ ไร่องุ่นจำนวนมาก เคียงคู่ไปกับอุตสาหกรรมการผลิตไวน์ชั้นเยี่ยม และบรรยากาศ ที่สวยงาม สถาปัตยกรรมของอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ ช่วยทำให้เมือง Colmar เป็นอีกหนึ่งในสถานที่โรแมนติกในฝัน
กอลมาร์ (ฝรั่งเศส: Colmar, ฟังเสียง, อัลเซเชียน: Colmer) เมืองกอลมาร์เป็นเมืองหลวงของจังหวัดโอ-แร็งในแคว้นอาลซัสในประเทศฝรั่งเศส เมืองกอลมาร์ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส
เมืองกอลมาร์ตั้งอยู่บน “เส้นทางไวน์ของอาลซัส” และได้ชื่อว่าเป็น “capitale des vins d'Alsace” (เมืองหลวงแห่งไวน์แห่งอาลซัส)
ในปี ค.ศ. 2006 เมืองกอลมาร์มีประชากรทั้งสิ้น 65,713 คน และในปริมณฑลอีก 120,367 คนกอลมาร์เป็นศูนย์กลางของเขตกอลมาร์ที่มีประชากร 144,700 คนในปี ค.ศ. 2006




กอลมาร์เป็นบ้านเกิดของจิตรกรและช่างแกะพิมพ์มาร์ติน โชนเกาเออร์ และประติมากรเฟรเดริก โอกุสต์ บาร์ตอลดีผู้ออกแบบอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ กอลมาร์มีชื่อเสียงในการอนุรักษ์เมืองให้ยังคงเป็นเมืองที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมและบรรยกาศของเมืองโบราณ ในตัวเมืองเก่าก็มีพิพิธภัณฑ์ คริสต์ศาสนสถาน และร้านค้าและที่อยู่อาศัยที่คงสภาพเหมือนเมืองในยุคกลาง

Prague สาธารณรัฐเช็ก

   Prague สาธารณรัฐเช็ก อีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับสถานที่โรแมนติก ก็คือ เมือง Prague ของสาธารณรัฐเช็ก สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารอร่อย วัฒนธรรม และปราสาทเก่าแก่ ผู้คนที่มีมิตรไมตรี และสุภาพอ่อนโยน เมือง Prague เป็นสถานที่เกิดของนักดนตรีระดับโลก อย่าง Mozart และมีชื่อเสียง ในเรื่องของทางเดินอันสวยงามในเมือง ที่คู่รักสามารถใช้เวลาเดินเล่นด้วยกัน
พื้นที่บริเวณกรุงปรากมีคนอาศัยตั้งแต่ 200 ปีก่อนคริสตกาล โดยช่วงแรกเป็นเผ่าเคลต์ (Celt) ก่อนจะถูกรุกรานโดยเผ่าเยอรมนิก (Germanic) และถูกครอบครองโดยเผ่าสลาฟในคริสต์ศตวรรษที่ 4
ประมาณ 200 ก่อนปีคริสต์ศักราช ชาวเคลต์ได้ตั้งอาณานิคมขึ้นทางตอนใต้ มีชื่อว่า Závis แต่ต่อมาในศตวรรษที่ 4 ชาวสลาฟได้เข้าครอบครองดินแดนนี้ จนในศตวรรษที่ 7 วัฒนธรรมของทั้งสองเผ่าพันธ์ได้ ผสมผสานกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

มีตำนานกล่าวขานว่า เจ้าหญิง LibuŠe แห่งราชวงศ์ ได้สมรสกับ เจ้าชาย Premysl และก่อตั้งราชวงศ์ Premysl ทั้งสองทรงโปรดให้มีการสร้างปราสาทนาม Libusin ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของแคว้นโบฮีเมีย เจ้าหญิง LibuŠe ยังได้ทรงเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าและทรงทำนายว่า จะมีการก่อสร้างปราสาทซึ่งสูงสง่าอลังการณ์เทียมฟ้า
      ส่วนตัวเมืองปรากนั้นมีหลักฐานว่าสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 9 และเป็นเมืองหลวงของแคว้นโบฮีเมีย ซึ่งอยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
     ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 9 กษัตริย์บอริวอจ พรีมิสโลเวก (Borivoj Premyslovec) ทรงสร้างปราสาทขนาดใหญ่บนเขาสูงสง่าเหนือแม่น้ำ Vltava (ชาวเยอรมันเรียกแม่น้ำนี่ว่า Moldau) เขา Hradchin และมีการขนานนามปราสาทแห่งนี้ว่า ปราฮา (Praha) ซึ่งเป็นชื่อเรียกกรุงปรากในภาษาเช็ก   

New York

New York ประเทศสหรัฐอเมริกา เมือง New York เหมาะสำหรับคู่รัก ที่กำลังมองหาสถานที่ที่จะใช้ ช่วงเวลาแห่งความรัก และความโรแมนติก ในหลากหลายรูปแบบ ร้านอาหาร และร้านค้าจำนวนมาก และสถานที่น่าสนใจอื่น ๆ เช่น สถานีรถไฟ Grand Central Terminal, อนุสาวรีย์เทพีสันติภาพ และสวนหย่อมขนาดใหญ่ Central Park (มีกิจกรรมคอนเสิร์ต, มีลานสเก็ตน้ำแข็ง)
      นครนิวยอร์ก หรือที่นิยมเรียกกันว่า นิวยอร์กซิตี (อังกฤษ: New York City; NYC) เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา เป็นเมืองที่เจริญที่สุดในโลก เป็นมหานครเอกของโลก จัดได้ว่าเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเงิน วัฒนธรรม บันเทิง ที่สำคัญที่สุดของโลก เป็นเมืองที่มี ตึกระฟ้า ตึกสูงมากที่สุดในโลก ตลอดระยะเวลา 150 ปี และยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ อีกด้วย
      นิวยอร์กตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วย 5 เขตปกครองที่เรียกว่า โบโรฮ์ (Borough) คือ เดอะบรองซ์ บรูคลิน แมนแฮตตัน ควีนส์ และสแตตัน ไอส์แลนด์ ประชากรรวมทั้งหมดประมาณ 8,274,527 คน
     ภายในพื้นที่ 790 ตร.กม. (305 ตร.ไมล์) นอกจากจะเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดแล้ว สัดส่วนพื้นที่ต่อประชากรยังถือว่าหนาแน่นที่สุดในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
ลักษณะเฉพาะของนิวยอร์กที่แตกต่างไปจากเมืองแห่งอื่นของสหรัฐอเมริกา มีให้เห็นหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่ระบบขนส่งที่มีโครงข่ายขนาดใหญ่ ความเหมือนและความแตกต่างกันของประชากร ใน ค.ศ. 2005 มีภาษาประมาณ 170 ภาษาที่ใช้กันในเมืองแห่งนี้ และ 36% ของประชากรไม่ได้เกิดและโตในสหรัฐอเมริกา
 
ระบบรถไฟใต้ดินนครนิวยอร์กที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง บวกกับการจราจรและผู้คนที่พลุกพล่านอยู่ตลอดเวลา จึงมีคำเปรียบเปรยถึงนิวยอร์กว่าเป็น “เมืองที่ไม่เคยหลับใหล” ขณะเดียวกันเมืองแห่งนี้ยังมีชื่อเล่นอื่นๆ อีกด้วยอย่าง “กอร์ทเทม” (Gotham) และ “บิ๊กแอปเปิล” (Big Apple)
สถานที่ท่องเที่ยว
นิวยอร์กมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในเกาะแมนแฮตตัน นักท่องเที่ยวมักจะแวะตามที่สถานที่เที่ยวที่มีชื่อเสียงได้แก่ ตึกเอมไพร์เสตต ตึกไครสเลอร์ ไทม์สแควร์ เทพีเสรีภาพ วอลล์สตรีต สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ โบสถ์เซนต์แพทริก สะพานบรูคลิน เรือบรรทุกเครื่องบินอินทรีพิด เซ็นทรัลปาร์ค
แหล่งชอปปิ้งมากมายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว ได้แก่ บริเวณ ฟิฟท์อเวนูสำหรับของมียี่ห้อและเครื่องประดับ ห้างสรรพสินค้าเมซีส์ (Macy's) ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ เฮอรัลด์สแควร์ที่มีขายของหลายระดับ กรีนวิชวิลเลจมีของขายเกี่ยวกับซีดีเพลงและหนังสือ อีสต์วิลเลจสำหรับขายของที่น่าสนใจ ถนน 47th ช่วงระหว่าง ฟิฟท์อเวนู และซิกซ์อเวนู ขายเครื่องประดับและอัญมนี โซโหแหล่งชอปปิ้งเสื้อผ้าชั้นนำต่างๆ เชลซีสำหรับการซื้อขายงานศิลป์ นอกจากในเขตแมนแฮตตันยังมีบริเวณดาวน์ทาวน์บรูคลิน และบริเวณควีนส์บูเลอวาร์ดในควีนส์ สำหรับแหล่งชอปปิ้งอื่นๆ
ในช่วงวันสิ้นปี บริเวณไทมส์แสควร์จะมีผู้คนหลายแสนคนไปรวมกันเพื่อไปเคานต์ดาวน์ ต้อนรับงานปีใหม่ และในช่วงวันขอบคุณพระเจ้า ทางห้างเมซีส์ จัดขบวนพาเหรดทุกปี บริเวณถนนบอร์ดเวย์
พิพิธภัณฑ์ที่เป็นที่รู้จักในนิวยอร์กได้แก่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิตัน (เดอะเม็ต) Museum of Modern Art (โมมา) และ American Museum of Natural History

เวนิส ประเทศอิตาลี (Guide for Venice)

เวนิสเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยคลองมีคลองมากถึง 150 สายและทุกสายไหลผ่านตัวเมืองหรือ center ด้วยเหตุนี้เองเวนิสจึงเต็มไปด้วยสะพานและซอยเล็กๆ มากมาย และแต่ละที่จะเต็มไปด้วยผู้คนและร้ายขายของมากมาย วิวจากทุกสะพานและซอยจะมีเอกลักษณ์และความสวยที่แปลกตา ทำให้บางครั้งเราอาจเผลอถ่ายรูปจำนวนมากไปโดยไม่รู้ตัว ด้วยความเป็นเอกลักษณ์แบบนี้จึงไม่สามารถหาดูได้ที่ไหนนอกจากที่เวนิส


การเดินทางไปยังเวนิส
ทางเครื่องบิน : ที่เวนิสมีสนามบินสองแห่งคือ Marco Polo และ Treviso สามารถเดินทางจากสนามบิน Marco Polo ไปยังตัวเมืองเวนิส (Piazzale Rome) โดยรสบัสหมายเลข #5 ค่าโดยสาร 2 ยูโร โดยเป็นตั๋วแบบเที่ยวเดียว ส่วนการเดินทางจาก Treviso ไปสู่ตัวเมืองเวนิสทำได้โดยใช้ Shuttle bus ที่สนามบิน โดยจะไปที่จัตุรัสเดียวกับที่รสบัสไปถึง ค่าโดยสาร 4.5 ยูโร โดยเป็นตั๋วแบบเที่ยวเดียว
ทางรถไฟ : รถไฟไปถึงตัวเมืองเวนิสที่สถานี Stazione di Santa Lucia
ทางรสบัส : รถบัสไปถึงเวนิสที่ Piazzale Roma

การเที่ยวในเวนิส
เดินเที่ยว : การเดินเที่ยวอาจเป็นวิธีที่สะดวกที่สุดสำหรับเที่ยวในเวนิส เพราะเวนิสไม่ใช่เมืองที่ใหญ่มาก สามารถเดินเที่ยวได้อย่างทั่วถึง
เที่ยวโดยเรือ หรือ Water bus หรือ Vaparetto : บางครั้งถ้าต้องการเดินทางไปยังจุดที่ไกลมากจนไม่สามารถเดินได้อาจเดินทางโดยเรือ ค่าโดยสารแบบรอบเดียวสำหรับ 1 คนคือ 6 ยูโร ซึ่งถือว่าค่อนข้างแพง เพราะฉะนั้นควรวางแผนการใช้ให้ดี
เรือข้ามฟาก หรือ Traghetto : Traghetto เป็นเรือข้ามฟากที่มีในคลองสายหลักๆ ผู้โดยสารต้องยืนและใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ค่าโดยสารแบบรอบเดียวสำหรับ 1 คนคือ 0.5 ยูโร 




กอนโดล่า หรือ Gondola : จริงๆ แล้วจะจัด Gondola อยู่ในหมวดนี้ก็ไม่ถูกเพราะ Gondola ไม่ได้มีไว้เดินทาง แต่ Gondola คือพาหนะยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวมักจะมาลองนั่งดูเมื่อมาถึงเวนิส เพื่อสัมผัสบรรยากาศของเมือง ปกติแล้วจะอยู่ที่ 70 ยูโรต่อเรือ 1 ลำ ต่อ 45 นาที ราคานี้ไม่รวมค่าร้องเพลง ขับกล่อม ต้องสอบถามจากท่าเรือและต่อรองกันเอาเอง ถ้าอยากประหยัดให้เลือกท่าเรือที่มีคนน้อยๆ หรือถ้าอยากประหยัดอีกก็ขึ้น Gondola ที่ไม่ใช่ของแท้ ที่ไม่มีการแต่งหัวเรือและเบานั่งแบบหรูหรา จะประหยัดได้ประมาณ 10 กว่าๆ ยูโร
สภาพอากาศของเวนิส
เดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนที่หนาวที่สุดในเวนิส และอุณหภูมิจะเริ่มเพิ่มขึ้นในเดือนมีนาคมเมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ เดือนที่อากาศดีและเหมาะกับการไปเที่ยวเวนิสมากที่สุด อยู่ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน และอากาศจะเริ่มร้อนในเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม และอากาศจะกลับมาเย็นสบายอีกครั้งในเดือนกันยายนซึ่งถือว่าเป็นอีกเดือนหนึ่งที่น่าไปเที่ยว

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เกาะพีพี phi phi island

อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา - หมู่เกาะพีพี     
ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหนองทะเล ตำบลไสไทย ตำบลอ่าวนาง และตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ มีพื้นที่ 242,437 ไร่ เป็นพื้นน้ำประมาณ 200,849 ไร่ มีป่าไม้ 3 ประเภท คือ ป่าดงดิบชื้น พบเห็นได้บริเวณเขาสูงชันบริเวณเขาหางนาค เขาอ่าวนาง ป่าชายเลน จะพบบริเวณคลองแห้ง ใกล้ที่ทำการอุทยานฯ คลองย่านสะบ้า และด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือบริเวณสุสานหอย 40 ล้านปี และป่าพรุ ที่พบต้นเสม็ดขึ้นอยู่อย่างสมบูรณ์ มีสัตว์ต่าง ๆ ที่พบในอุทยานฯ ได้แก่ นกโจรสลัด เหยี่ยวแดง นกออก นกนางแอ่นกินรัง หมูป่า ลิง และค่าง สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยวคือเดือนพฤษภาคม - เดือนเมษายน
ท่องเที่ยว > กระบี่ กระบี่ - หมู่เกาะพีพี   แหล่งท่องเที่ยว:  เกาะลิงครับในช่วงสงกรานต์คนเยอะเลย<br> เกาะลิงครับในช่วงสงกรานต์คนเยอะเลย <br>  น้ำใส ทะเลสวยที่หาดมาหยา ตอนไปเที่ยวที่เกาะพีพีค่ะ <br>ดูแล้วสบายตาสบายใจดี ยังอยากไปอีกเลย ถ้ามีโอกาสต้องไป<br>อีกแน่นอนค่ะ<br> น้ำใส ทะเลสวยที่หาดมาหยา ตอนไปเที่ยวที่เกาะพีพีค่ะ ดูแล้วสบายตาสบายใจดี ยังอยากไปอีกเลย ถ้ามีโอกาสต้องไป อีกแน่นอนค่ะ อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา - หมู่เกาะพีพี      ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหนองทะเล ตำบลไสไทย ตำบลอ่าวนาง และตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ มีพื้นที่ 242,437 ไร่ เป็นพื้นน้ำประมาณ 200,849 ไร่ มีป่าไม้ 3 ประเภท คือ ป่าดงดิบชื้น พบเห็นได้บริเวณเขาสูงชันบริเวณเขาหางนาค เขาอ่าวนาง ป่าชายเลน จะพบบริเวณคลองแห้ง ใกล้ที่ทำการอุทยานฯ คลองย่านสะบ้า และด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือบริเวณสุสานหอย 40 ล้านปี และป่าพรุ ที่พบต้นเสม็ดขึ้นอยู่อย่างสมบูรณ์ มีสัตว์ต่าง ๆ ที่พบในอุทยานฯ ได้แก่ นกโจรสลัด เหยี่ยวแดง นกออก นกนางแอ่นกินรัง หมูป่า ลิง และค่าง สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยวคือเดือนพฤษภาคม - เดือนเมษายน   อุทยานฯ มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ คือ      หาดนพรัตน์ธารา อยู่ห่างจากตัวเมือง 17 กิโลเมตร ชายหาดมีความยาวเกือบ 3 กิโลเมตร เดิมชาวบ้านเรียกว่า “หาดคลองแห้ง” ทั้งนี้เพราะเมื่อน้ำลง น้ำคลองที่ไหลมาจากภูเขาทางด้านเหนือจะแห้งขอดกลายเป็นหาดทรายยาวเหยียดทอดลงไปในทะเล บรรจบกับเกาะเขาปากคลอง บริเวณหาดเป็นทรายละเอียดปะปนด้วยเปลือกหอยเล็ก ๆ ประดับด้วยทิวสนเรียงรายตามชายทะเลยาวเหยียด เมื่อน้ำลงจนแห้งสามารถเดินไปยังเกาะเล็ก ๆ บริเวณหน้าชายหาดได้ นอกจากนั้นบริเวณชายหาดมีที่พักของอุทยานฯ บริการแก่นักท่องเที่ยว โทร. 0 7563 7200 จากที่ทำการอุทยานฯ เดินเท้าไปตามชายหาดด้านทิศตะวันตก มีบังกะโลหลายแห่งให้บริการนักท่องเที่ยว ชายหาดบริเวณนี้ค่อนข้างเงียบสงบ เป็นสถานที่ที่ชาวกระบี่นิยมไปเที่ยวพักผ่อนในวันสุดสัปดาห์ ยังไม่มีถนนตัดเลียบชายหาด
หมู่เกาะพีพี เป็นหมู่เกาะกลางทะเล อยู่ห่างจากอำเภอเมือง 42 กิโลเมตร เดิมชาวทะเลเรียกหมู่เกาะนี้ว่า “ปูเลาปิอาปิ” คำว่า “ปูเลา” แปลว่าเกาะ คำว่า “ปิอาปิ” แปลว่าต้นไม้ทะเลชนิดหนึ่งจำพวกแสม และโกงกาง ต่อมาเรียกว่า “ต้นปีปี” ซึ่งภายหลังกลายเสียงเป็น “พีพี” ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรแห่งบุปผาใต้สมุทรนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวหมู่เกาะนี้ส่วนใหญ่มาเพื่อดำน้ำดูปะการังดอกไม้ทะเล และปลาหลากสีสันที่สวยงาม นอกจากนั้นยังมีเกาะต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างเส้นทางเดินเรือ กระบี่-ภูเก็ต-หมู่เกาะพีพี ประกอบด้วยเกาะ 6 เกาะ คือ เกาะพีพีเล เกาะพีพีดอน เกาะยูง เกาะไม้ไผ่ เกาะบิดะนอก และเกาะบิดะใน ซึ่งแต่ละเกาะมีหาดทรายสวย น้ำทะเลใส
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของหมู่เกาะพีพี เกาะพีพีดอน มีพื้นที่ประมาณ 28 ตารางกิโลเมตร จุดเด่นของเกาะคือเวิ้งอ่าวคู่ที่มีความสวยงามติดอันดับโลกของอ่าวต้นไทรและอ่าวโละดาลัม อ่าวต้นไทรเป็นที่ตั้งของท่าเรือเกาะพีพี และมีสถานที่พักและร้านค้าจำนวนมาก จากอ่าวต้นไทรสามารถเดินขึ้นเขาไปยังจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นเวิ้งอ่าวคู่ได้ เกาะพีพีดอนยังมีหาดทรายและอ่าวที่สวยงามกระจายอยู่รอบเกาะ บางแห่งมีที่พักบริการ เช่น หาดแหลมหิน หาดยาว อ่าวโละบาเทา ทางเหนือของเกาะคือ แหลมตง เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวเลประมาณ 15-20 ครอบครัว ส่วนใหญ่อพยพมาจากเกาะลิเป๊ะ ในอุทยานแห่งชาติตะรุเตาที่จังหวัดสตูล บริเวณแหลมตงมีธรรมชาติใต้ทะเลที่สวยงามและบนหาดมีที่พักให้บริการแก่นักท่องเที่ยว
การเดินทางไปหมู่เกาะพีพี
นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยังหมู่เกาะพีพีได้ทั้งจากกระบี่และภูเก็ต จากท่าเรือเจ้าฟ้าในตัวเมืองกระบี่ มีเรือโดยสารออกจากกระบี่ไปเกาะพีพี วันละ 2 เที่ยว เวลา 10.00 น. และ 14.30 น. และจากเกาะพีพีกลับกระบี่ เรือออกเวลา 09.00 น. และ 13.00 น. ค่าโดยสารคนละ 150 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณสอง ชั่วโมงครึ่ง และมีเรือเร็วนำเที่ยวเช้าไปเย็นกลับ ออกจากอ่าวนาง เวลา 09.00 น. และกลับเวลา 17.00 น. ติดต่อโทร. 0 7563 7152-3 สำหรับบริษัท อันดามัน เวฟ มาสเตอร์ จะมีเรือโดยสารออกจากท่าเรือเจ้าฟ้า เรือออกเวลา 10.00 น. และ 14.00 น. ค่าโดยสารคนละ 200 บาท สนใจสอบถามได้ที่ บริษัท เอ ดี วี จำกัด ถนนข้าวสาร โทร. 0 2281 1463-5 หรือ บริษัท อันดามัน เวฟ มาสเตอร์ จำกัด โทร. 0 7563 0471 ส่วนการเดินทางจากภูเก็ตมีเรือนำเที่ยวเกาะพีพีแบบเช้าไปเย็นกลับ นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อได้ที่บริษัททัวร์ทั่วไปในตัวเมืองภูเก็ต
นอกจากนี้บริเวณอ่าวต้นไทรบนเกาะพีพีดอน มีเรือหางยาวให้เช่าไปเที่ยวตามชายหาดต่าง ๆ รวมถึงเกาะพีพีเลด้วย บริษัท พีพี แฟมิลี่ จำกัด โทร. 0 7561 2463
หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ พ.พ.4 (ทับแขก) เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานฯ ใช้เส้นทางตามทางหลวง 4200 จนถึงสี่แยกคลองจิหลาด เลี้ยวซ้ายไปตามถนนหมายเลข 4034 ตรงไปถึงสามแยกบ้านหนองทะเล เลี้ยวซ้ายตรงไปบ้านคลองม่วง และเลี้ยวขวาอีกครั้งตรงไปที่ทำการหน่วยพิทักษ์ฯ ระยะทาง 38 กิโลเมตร พื้นที่เป็นภูเขาที่สมบูรณ์ด้วยป่าไม้และสัตว์ป่า มีจุดชมวิวที่สวยงามคือหงอนนาค ซึ่งสามารถมองเห็นทัศนียภาพของทะเลกระบี่ได้อย่างสวยงาม หน่วยพิทักษ์ฯ มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ระยะทาง 3.7 กิโลเมตร ต้องมีคนนำทาง
 
 


ประเทศมัลดีฟส์ Maldives

มัลดีฟส์เกาะสวรรค์บนโลกมษุษย์
   เกาะสวรรค์มัลดีฟส์ใครๆก็อยากจะไปสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะว่ากันว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้เกาะนี้ประเทศนี้จะจมหายไปในมหาสมุทรอินเดียแล้ว เนื่องจากมัลดีฟส์เป็นเกาะที่สูงจากน้ำทะเลเพียงเล็กน้อย มัลดีฟส์เป็นประเทศไม่ใช่เกาะของประเทศอื่น มัลดีฟส์ประกอบด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยนับร้อยเกาะ แต่ละเกาะเดินทางรอบเกาะใช้เวลาไม่กี่นาที ยืนบนเกาะก็สามารถเห็นได้รอบเกาะ เกาะมัลดีฟส์น้ำใสมากๆ ปลาตัวโตๆ เห็นได้ริมชายหาดกันเลยทีเดียว มัลดีฟส์จึงเป็นเกาะสวรรค์บนโลกของเราที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกฝันที่จะเดินทางมาเที่ยวที่นี่สักครั้งหนึ่งในชีวิต "มัลดีฟส์เกาะสวรรค์บนโลกมนุษย์"
เกาะมัลดีฟส์เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยเกาะต่างๆนับร้อยเกาะ พื้นที่ความยาวจากเหนือจรดใต้ 820 กิโลเมตร จากตะวันออกจรดตะวันตก 120 กิโลเมตร แต่เป็นพื้นที่ดินรวมเพียง 300 ตารางกิโลเมตรมีจุดสูงสุดเพียง 2.3 เมตร ประกอบด้วยหมู่เกาะปะการัง 26 กลุ่ม (atoll) รวม 1,190 เกาะ มีประชากรอาศัยอยู่เพียงประมาณ 200 เกาะ และได้รับการพัฒนาเป็นโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยว 74 เกาะ ภูมิอากาศเป็นแบบเขตร้อนชื้น อุณหภูมิเฉลี่ย 27 – 30 C (18-90 F) ตลอดทั้งบีช่วงที่ปราศจากมรสุม ได้แก่ ช่วงเดือนธันวาคม – มีนาคม
        มัลดีฟส์เป็นประเทศที่มีภูมิประเทศโดดเด่น พื้นที่ของประเทศทั้งหมดประกอบด้วยน้ำถึงร้อยละ 97 ส่วนที่เป็นพื้นดิน คือเกาะต่างๆ ที่เกิดจากการทับถมของแนวปะการัง เกาะเหล่านี้วางตัวเรียงรายกันคล้ายวงแหวน เรียกว่า Atoll* ซึ่งรวมแล้วมัลดีฟส์มีอะทอลวางตัวในแนวเหนือใต้ทั้งหมด 26 อะทอล โดยทั้ง 26 อะทอลแบ่งย่อยเป็นอะทอลการปกครองได้ 19 เขตการปกครอง และ 1 เขตการปกครองพิเศษ คือ มาเล่ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ ในบรรดาเกาะทั้ง 1,190 เกาะของมัลดีฟส์ มีเพียง 200 เกาะเท่านั้นที่มีคนอยู่อาศัย บางเกาะอาจเป็นที่ตั้งของรีสอร์ทใดรีสอร์ทหนึ่งกินบริเวณทั่วทั้งเกาะ 
 
  กล่าวกันว่า อะทอล คือแนวปะการังที่เกิดล้อมรอบแนวฐานภูเขาไฟ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภูเขาไฟตรงกลางยุบตัวลงใต้มหาสมุทร คงเหลือแนวปะการังที่ทับถมกันเป็นกลุ่มเกาะขนาดย่อยๆ วางตัวกันเป็นวงกลมบ้างไม่กลมบ้าง
การเดินทางไปเกาะมัลดีฟส์ถ้าไม่ไปกับทัวร์ก็มีสายการบินบางกอกแอร์เวย์เดินทางตรงจากกรุงเทพฯ สนามบินสุวรรณภูมิไปยังสนามบินนานาชาติของประเทศมัลดีฟส์ การเดินทางภายในมัลดีฟส์ และเนื่องด้วยภูมิประเทศที่ประกอบด้วยเกาะปะการังนับพัน วิธีเดินทางจากสนามบินนานาชาติมาสู่เกาะต่างๆรวมถึงการเดินทางระหว่างเกาะในมัลดีฟส์ คือการเดินทางด้วยเรือ ทั้งเรือเร็วหรือสปีดโบ๊ตซึ่งเป็นที่นิยมในการใช้รับส่งแขกจากรีสอร์ทต่างๆ 
   การเดินทางด้วยเรือพื้นเมืองที่เรียกว่า โดนิ(Dhoni) ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่นัก และยังเป็นการช่วยอนุรักษ์แนวปะการังใกล้เกาะไม่ให้เสียหายจากเครื่องยนต์ของเรือโดยสารขนาดมหึมา บางแห่งมีการดัดแปลงเรือประมงหรือMasdhoni ซึ่งมีขนาดใหญ่และแล่นได้เร็วกว่าโดนิทั่วไป มาใช้รับส่งผู้โดยสารหรือให้เช่าเหมาลำไปตามแหล่งดำน้ำต่างๆ นอกจากนี้ยังมีบริการเรือเฟอร์รี่ขนาด 280 ที่นั่ง แล่นระหว่างเมืองมาเล่กับอะทอลอัดดู ออกทุกสัปดาห์ และเรือซาฟารี ที่ให้บริการนำเที่ยวพร้อมที่พัก อาหาร เครื่องอำนวยความสะดวก อาทิ เครื่องออกกำลังกาย เครื่องปรับอากาศ โทรศัพท์เคลื่อนที่ และอุปกรณ์ความบันเทิง
        ตลอดระนยะเวลาการเดินทาง และเรือเฟอร์รี่บริการจากสนามบินนานาชสติถึงเมืองมาเล่ ค่าบริการคนละ 1 ดอลลาร์สหรัฐ(กลางวัน) และ 2 ดอลลาร์สหรัฐ(กลางคืน) การเดินทางโดยเครื่องบินเล็ก หรือ Sea-plane นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเดินทางภายในมัลดีฟส์ มีเที่ยวบินระหว่างเมืองมาเล่สู่เกาะอื่นๆ อาทิ เกาะเคาเดดูห์ และ เกาะจานในอะทอลอัดดู หรือเกาะฮานิมาดูห์ในทางตอนเหนือของประเทศ สำหรับการเดินทางทางบก ในมัลดีฟส์มีถนนสำหรับรถวิ่งอยู่เฉพาะในเมืองมาเล่และอะทอลอัดดูเท่านั้น และเนื่องจากแต่ละเกาะมีพื้นที่ขนาดกะทัดรัด ผู้คนจึงนิยมเดินและปั่นจักรยานมากกว่าใช้รถยนต์ 
     ที่เรียกว่าเกาะสวรรค์มัลดีฟส์ไม่ได้กล่าวเกินไปเพราะว่าที่มัลดีฟส์ น้ำทะเลรอบเกาะใสมากๆ เราสามารถเดินเอาไฟฉายไปฉายดูปลาตัวโตๆชายหาดได้ โดยเฉพาะที่ระเบียงกิจกรรมกลางคืน เรามองเห็นปลาฉลามเป็นฝูงว่ายน้ำมาทักทายเรา และในช่วงเวลากลางวันปลากระเบนใหญ่ๆก็พบได้ง่ายๆที่ชายหาดบางโซน ส่วนโซนเล่นน้ำก็ใสเสียเหลือเกิน จะไม่ให้เรียกว่าเกาะสวรรค์มัลดีฟส์ได้อย่างไรกัน
     มาเล่เมื่อหลวงที่มีเสน่ย์ของมัลดีฟส์ มาเล่กว้าง 1 กิโลเมตร ยาว 2 กิโลเมตร เดินด้วยเท้าไม่กี่นาทีก็รอบเกาะแล้ว ที่เมืองหลวงมีจุดที่น่าสนใจคือตลาดปลา ตลาดสดของชาวมัลดีฟส์ เพราะจะมีชาวประมงมาขายปลากันอย่างคึกคัก นอกจากตลาดปลาแล้วตลาดผัก ผลไม้ก็ดูคึกคักได้เห็นความเป็นอยู่ของชาวมัลดีฟส์อย่างแท้จริง
   เที่ยวให้สนุกๆไปกับหมูหิน.คอม หมูหินและหมูน้อยจะเล่าเรื่องมัลดีฟส์สนุกๆอีกหลายเรื่อง รูปนับร้อยๆรูป วีดีโออีกหลายคลิป ติดตามเราหมูหิน.คอม กันต่อไป หมูหิน.คอม เว็บท่องเที่ยวอันดับหนึ่งเมืองไทย
 


กำแพงเมืองจีน

กำแพงเมืองจีน
          กำแพงเมืองจีน (จีนตัวเต็ม: 長城; จีนตัวย่อ: 长城; พินอิน: Chángchéng ฉางเฉิง) เป็นกำแพงที่มีป้อมคั่นเป็นช่วง ๆ ของจีนสมัยโบราณ กำแพงส่วนใหญ่ที่ปรากฏในปัจจุบันสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ฉิน ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรุกรานจากพวกมองโกล และพวกเติร์กจาก ทางเหนือ หลังจากนั้นยังมีการสร้างกำแพงต่ออีกหลายครั้งด้วยกัน แต่ภายหลังก็มีเผ่าเร่ร่อนจากมองโกเลียและแมนจูเรียสามารถบุกฝ่ากำแพงเมือง จีนได้สำเร็จ
กำแพงเมืองจีนยังคงเรียกว่า กำแพงหมื่นลี้ (จีนตัวเต็ม: 萬里長城; จีนตัวย่อ: 万里长城; พินอิน: Wànlĭ Chángchéng ว่านหลี่ฉางเฉิง) กำแพงเมืองจีนมีความยาวทั้งหมดถึง 6,350 กิโลเมตร และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางด้วย มีความเชื่อกันว่า หากมองเมืองจีนจากอวกาศจะสามารถเห็นกำแพงเมืองจีนได้ ซึ่งในความเป็นจริงไม่สามารถมองเห็นจากอวกาศได้

ระยะเวลาในการสร้าง
กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นในระยะเวลา 4 ช่วงหลัก ๆ ดังนี้
    พ.ศ. 338 (ราชวงศ์ฉิน) 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
    พ.ศ. 443 (ราชวงศ์ฮั่น)
    พ.ศ. 1681 - 1741 (สมัย 5 ราชวงศ์ 10 อาณาจักร)
    พ.ศ. 1911 - 2163 (รัชสมัยจักรพรรดิหงอู่ ต้นราชวงศ์หมิง



ประวัติ
        กำแพงเมืองจีนสร้างเมื่อกว่า 2,500 ปีมาแล้ว ตั้งแต่ก่อนสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกในประวัติศาสตร์จีน จุดประสงค์ก็เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าทางตอนเหนือ โดยมีการก่อสร้างเพิ่มเติมโดยฮ่องเต้องค์ต่อมาอีกหลายพระองค์ จนสำเร็จในที่สุด กำแพงเมืองจีนถือเป็นงานก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเท่าที่เคยมีมา

มีข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับกำแพงเมืองจีนดังนี้


1. เราไม่สามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนจากดวงจันทร์ ไม่มีสิ่งก่อสร้างที่สร้างโดยมนุษย์ แม้แต่อย่างเดียวที่สามารถมองเห็นจากดวงจันทร์ ในระดับ low earth orbit เราสามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนโดยใช้ radar การมองเห็นกำแพงเมืองจีนเป็นไปได้ยากเนื่องจาก สีของกำแพงเมืองจีนจะกลืนไปกับสีของธรรมชาติ ก็คือสีของดิน หิน
2. กำแพงเมืองจีนไม่ใช่กำแพงยาวตลอด ความจริงแล้วกำแพงเมืองจีน ถูกสร้างขึ้นในหลายยุคหลายสมัยกินเวลานับพันปี โดยเป็นการเชื่อมต่อกำแพงแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน จนเป็นแนวทอดยาวหลายพันกิโลเมตร
3. กำแพงเมืองจีนเป็นเสมือนสุสานของผู้ก่อสร้าง มีการบันทึกไว้ว่า นักโทษจากสงครามและทาสกว่า 1 ล้านคนถูกใช้เป็นแรงงงานเพื่อก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ซึ่งจำนวนมากเสียชีวิตลงเนื่องจากความเหน็ดเหนื่อย และความหิวโหย ซึ่งศพผู้เสียชีวิตก็จะถูกฝังอยู่ข้างใต้กำแพงนั่นเอง นานนับศตวรรษแล้ว ที่กำแพงเมืองจีนได้ชื่อว่าเป็นสุสานที่มีความยาวที่สุดในโลก เป็นที่กล่าวขานกันว่าทุกๆ หนึ่งฟุตของกำแพงเมืองจีนก็คือหนึ่งชีวิตของผู้ก่อสร้างกำแพง
4. ความยาวของกำแพงเมืองจีน จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครทราบความยาวที่แท้จริงของกำแพงเมืองจีน ในภาษาจีน จะเรียกกำแพงเมืองจีนว่า "กำแพงยาวหมื่นลี้" (หนึ่งลี้มีความยาวประมาณ 1/3 ไมล์) โดยคร่าวๆ กำแพงเมืองจีนมีความยาวประมาณ 4 พันไมล์ หรือ 6,350 กิโลเมตร ทอดผ่านทุ่งหญ้า ทะเลทราย และเทือกเขาสูง ความสูงของกำแพงคือ 7 เมตร และกว้าง 5 เมตร
5. การก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ช่วยป้องกันการรุกรานได้หรือไม่ การเข้าครองอำนาจของมองโกล และแมนจู ทั้งสองครั้งเกิดขึ้นจากความอ่อนแอ ของราชวงศ์ที่ปกครองประเทศจีนในขณะนั้นๆ พวกเขาใช้โอกาสในขณะที่เกิดกบฏภายใน เข้ายึดครองประเทศจีน โดยมีการต่อต้านที่น้อยมาก
6. กำแพงเมืองจีนไม่ได้เป็นแค่กำแพง ทุกๆ 300 ถึง 500 หลา จะมีฐานบัญชาการเพื่อใช้สับเปลี่ยนเวรยามและใช้เป็นจุดสังเกตการณ์ มีหอสังเกตการณ์กว่า 1 หมื่นแห่ง
7. กำแพงเมืองจีนเป็นเส้นทางคมนาคม ในระยะแรก ประโยชน์ของกำแพงเมืองจีนก็คือ มันช่วยให้การคมนาคมและขนส่งในเส้นทางทุรกันดาร เช่นตามเทือกเขาเป็นไปอย่างสะดวกยิ่งขึ้น
8. กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นโดยใช้อะไรเป็นส่วนประกอบ ก่อนที่จะมีการใช้อิฐในการก่อสร้าง กำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้น โดยใช้หิน ดิน และไม้ บางครั้งมีการแพ็คดินไว้ระหว่างไม้แผ่นใหญ่ และมัดไว้ด้วยกันโดยเสื่อทอ บริเวณใกล้กรุงปักกิ่ง กำแพงเมืองจีนถูกสร้างโดยใช้หินอ่อน ในบางสถานที่กำแพงถูกสร้างโดยใช้หินแกรนิต บางแห่งก็ใช้ดินเผา ทางตะวันตกของจีน กำแพงถูกสร้างโดยใช้โคลน ทำให้ชำรุดได้ง่ายกว่า กำแพงเมืองจีนที่เราเห็นกันทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ถูกสร้างในราชวงศ์หมิง โดยใช้วัตถุที่ทนทานกว่าเช่นหิน
9. สภาพของกำแพงเมืองจีนในขณะนี้ รายงานผลการสำรวจของนักอนุรักษ์เมื่อปี 2004 กล่าวว่า ขณะนี้ กำแพงเมืองจีนที่ยาว 6,350 กิโลเมตร เหลือให้เห็นเพียง 1/3 เท่านั้น และกำลังสั้นลงเรื่อยๆ ปัญหาเกิดขึ้นเนื่องจากการขาดการดูแลและอนุรักษ์ โดยเฉพาะจากชาวไร่ชาวนาซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กำแพงเมืองจีน ไม่สนใจประกาศของรัฐบาลที่กำหนดให้กำแพงเมืองจีนเป็นสมบัติของชาติ เหตุผลที่ได้รับคัดเลือกเป็นมรดกโลก




กำแพงเมืองจีนได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2530 ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 11 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้

    (i) - เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด
    (ii) - เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวนและภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม
    (iii) - เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว
    (iv) - เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนาทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
    (v) - มีความคิดและความเชื่อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ หรือมีความโดดเด่นยิ่งในประวัติศาสตร์

หอไอเฟล Tour Eiffel

หอไอเฟล  Tour Eiffel
      หอไอเฟลเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่ง ของโลก โดยตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ "กุสตาฟ ไอเฟล" ในปี พ.ศ. 2549 นักท่องเที่ยวหอไอเฟลเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่ง ของโลก โดยตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ "กุสตาฟ ไอเฟล" ในปี พ.ศ. 2549 นักท่องเที่ยวหอไอเฟล (ฝรั่งเศส: Tour Eiffel, ตูร์แอฟแฟล; อังกฤษ: Eiffel Tower) หอคอยโครงสร้างเหล็กตั้งอยู่บนชองป์ เดอ มารส์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส หอไอเฟลเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วย
       หอไอเฟลเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ "กุสตาฟ ไอเฟล" ในปี พ.ศ. 2549 นักท่องเที่ยวกว่า 6,719,200 คนได้เข้าเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ และกว่า 200,000,000 คนตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ส่งผลให้หอไอเฟลเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีคนเข้าชมมากที่สุดต่อปีอีกด้วย หอไอเฟลมีความสูง 324 เมตร (1,063 ฟุต) (รวมเสาอากาศสูง 24 เมตร (79 ฟุต)) ซึ่งก็สูงเท่ากับตึก 81 ชั้น
       เมื่อหอไอเฟลสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกแทนที่อนุสาวรีย์วอชิงตัน และได้ครองตำแหน่งนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) ก็ได้เสียตำแหน่งให้แก่ตึกไครส์เลอร์ (319 เมตร หรือ 1,047 ฟุต) ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ปัจจุบันฟอไอเฟลสูงเป็นอันดับที่ 5 ในประเทศฝรั่งเศสและสูงที่สุดในกรุงปารีส ซึ่งอันดับสองคือหอมงต์ปาร์นาสส์ (Tour Montparnasse - 210 เมตร หรือ 689 ฟุต) ซึ่งในไม่ช้าจะถูกแทนที่โดยหออาอิกซ์อา (Tour AXA - 225.11 เมตร หรือ 738.36 ฟุต) 

โครงสร้าง
       หอไอเฟลมีความสูง 300 เมตร (986 ฟุต) ซึ่งไม่รวม เสาอากาศ 24 เมตร (72 ฟุต) ด้านบนนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น ในขณะที่ก่อสร้างปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดบนโลก โดยถูกล้มตำแหน่งเมื่อเมืองนิวยอร์กได้สร้าง ตึกไครส์เลอร์ สูง 319 เมตร (1047 ฟุต)น้ำหนักเหล็กที่ใช้ก่อสร้างนั้นทั้งหมด 7,300 ตัน และถ้ารวมทั้งหมดก็เป็น 10,000 ตัน ส่วนจำนวนบันไดนั้นเปลี่ยนแปลงตลอด เมื่อแรกเริ่มนั้นมี 1710 ขั้น ในทศวรรษที่ 1980 มี 1920 ขั้น และในปัจจุบัน มี 1665 ขั้น


เหตุการณ์

    10 กันยายน พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) - โทมัส เอดิสันได้เข้าชมหอไอเฟล
    พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอคอยได้สร้างเสร็จ และเป็น 1 ในสิ่งก่อสร้างในงาน EXPO
    พ.ศ. 2445 (ค.ศ. 1902) - ฟ้าผ่าหอไอเฟล จึงได้มีการซ่อมยอดของหอ สูง 100 เมตร (330 ฟุต) และเปลี่ยนดวงไฟที่เสียหาย
    พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) หอเสียตำแหน่งสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลก ให้แก่ตึกไครส์เลอร์
    ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2468 - พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1925 - 1934) ประดับไฟ 3 ด้านใน 4 ด้านของหอ
    พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) เมื่อนาซีเยอรมันสามารถยึดปารีสได้แล้ว ชาวฝรั่งเศสได้ตัดลิฟท์ออก ทำให้ฮิตเลอร์ต้องปีนบันได 1,665 ขั้น แต่เขาไม่ปีน เขาให้เอาธงเยอรมันไปปักไว้บนหอแทน แต่ธงผืนแรกนั้นใหญ่เกินไป ในเวลาไม่นานก็ถูกลมพัดตกลง เขาจึงเปลี่ยนให้เอาธงผืนเล็กกว่าไปปักแทน ส่วนการซ่อมลิฟท์เป็นไปได้ยากในเวลาสงคราม
    พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) เดือนสิงหาคม เมื่อฝ่ายพันธมิตรใกล้เข้ามา ฮิตเลอร์สั่ง Dietrich von Choltitz ให้เผาเมืองปารีส และหอทิ้ง แต่เขากลับฝืนคำสั่งไม่เผา หลังจากที่ ฝ่ายพันธมิตรยึดปารีสคืนได้ ลิฟท์ก็ถูกซ่อมให้ใช้งานได้ในไม่กี่ชั่วโมง
    พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) วันที่ 3 มกราคม ไฟไหม้ยอดของหอ และในปีเดียวกันนั้นก็ได้นำเสาอากาศวิทยุไปติ้งตั้งบนยอดด้วย
    ทศวรรษที่ 1980 ได้มีการเคลื่อนย้ายรื้อร้านอาหารที่เก่าแก่ในหอออก ไปสร้างใหม่ในเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐหลุยเซียนา สหรัฐอเมริกาแทน
    พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) ได้มีการติดตั้งโคมไฟบนยอดของหอ
    พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) วันที่ 28 พฤศจิกายน หอไอเฟลต้อนรับแขกคนที่ 200 ล้าน
    พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) วันที่ 22 กรกฎาคม ไฟไหม้ยอดของหอ ในห้องเก็บของอีกครั้ง ใช้เวลาดับไฟประมาณ 40 นาที